ดูเรื่องราวต่างๆของเรา

10 สิงหาคม 2553

ลาวใต้..ไปแล้วมันส์ มาก

ไปกันเรื่อยๆ สบายๆ 4คนครับออกเดินทางกันเช้าตรู่วันพฤหัสฯที่ 22 กค. ที่ผ่านมา


ได้ตั๋วโปรฯ ราคาไม่ถูกไม่แพงจากแอร์หางแดง
ประเดิมกันด้วยความฉ่ำแฉะตั้งแต่ก้าวขึ้นเครื่องกันเลย

โลว์คอสท์ก็งี้แหละครับ ไม่ได้เทียบงวงต้องนั่ง shuttle bus แล้วไปตากฝนนิดนึง




7.25 น. ตรงเป๊ะ ทะยานขึ้นฟ้ามุ่งหน้าอุบลฯ ท่ามกลางหมู่เมฆอึมครึมของเมืองกรุง



ชั่วโมงเดียว ก็ถึงอุบลฯ มองลงไปเห็นแม่มูลคดเคี้ยวอยู่เบื้องล่าง



สนามบินอุบล ต้อนรับเราด้วยสายฝนโปรยปราย
น้องๆ นศ. มายืนแจกร่ม(ให้ยืม)




ที่สนามบินอุบลฯ เราเลือกใช้บริการแท๊กซี่จากเคาน์เตอร์ของสนามบิน ให้มาส่งที่ บขส.อุบลฯ
ราคาสำหรับ4คนอยู่ที่ 250 ผมเห็นว่ามันโอเค เพราะเดินออกไปเรียกสามล้อเองก็ 150 ต้องเบียดกันไปอีก
นั่งรถเก๋งเย็นๆดีกว่า
และจากตรงนี้เอง แท๊กซี่คันที่บริการเราหลังจากนี้จะกลายมาเป็นเพื่อนเที่ยวที่ดีมากๆของเราในอีก 2-3 วันข้างหน้า




ก่อนจะมาถึง บขส. เหน่งโชเฟอร์แท๊กซี่ของเราพยายามพาเราไปหาที่พักล่วงหน้า แต่ยังไม่ได้ เลยไม่เอาหละมา บขส.ก่อนเดี๋ยวจะไม่ทัน

มาถึงก่อนเวลาซัก 10 นาทีเอง ก็ไปซื้อตั๋ว มีการให้แสดงpassport พอเป็นพิธี แต่สิ่งสำคัญคือเงิน 200.-
เค้าจะออกตั๋วให้ มีเลขที่นั่งระบุชัด เราก็สบายใจว่าได้ตั๋วหละ เดินไปซื้อขนม+กาแฟกินกัน

พอกลับมาขึ้นรถ กลายเป็นว่า ใครขึ้นก่อนก็นั่งก่อนตามสบาย อยากนั่งตรงไหนก็ว่ากันไป
แค่นั้นยังไม่พอ มีการออกตั๋วเกินที่นั่งด้วย
เกือบซรวยไปแร้ววว แต่ก็ต้องนั่แยกๆกันไป

ใครคิดจะใช้บริการ ควรไปถึงก่อนเวลา แล้วมีคนไปนั่งจองไว้ หรือเอาของไปวางกั๊กไว้ก่อนนะครับ มั่วมากๆ




ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน เพราะระหว่างทางมีการทำถนนหลายช่วงยาวๆด้วย
มาถึงด่านช่องเม็กเอาเมื่อ 11โมงกว่าแล้ว
แจ้งผ่านแดนทางฝั่งไทยไม่มีไรยุ่งยาก เขียนเอกสารใบเล็กๆยื่นพร้อม passport ไม่ต้องเสียตังค์ครับ



เสร็จแล้วเดินออกหลังด่าน มาเข้าทางเดินแคบๆ มีป้ายเตือนต่างๆมากมายอ่านกันเพลิน


เดินไปประมาณ 300 เมตร ก็มาถึงด่านฝั่งลาว เค้าเรียกว่าด่านวังเต่า
เค้าก็มีเอกสารให้เขียนเล็กน้อย ซีกซ้ายใช้ขาเข้า ซีกขวาใช้ตอนกลับออกมา แต่ต้องเขียนไว้ให้เสร็จเลย


จากนั้นไปจ่ายเงิน 50บาท ใช้เงินไทยได้เลย
ถ้าวันหยุดหรือนอกเวลาราชการ เค้าอาจจะคิดเพิ่ม 70-80 ก็ว่ากันไป
แต่บางทีถ้าเราไม่ถาม ยื่นแบงค์50 ไปเลยก็จบครับ เพราะงั้นตรงนี้ควรเตรียมแบงค์50ไปจะดีที่สุด








จากนั้นก็ว่าง เพราะต้องรอพวกฝรั่งเค้าทำวีซ่ากัน
เราจะมีเวลา เดินเล่นซื้อของร้านปลอดภาษีดาวเรือง หรือร้านค้าชาวบ้านแถวนั้นก็มีมากมาย
แนะ นำว่าให้แลกเงินกีบจากตรงนี้ไว้ก่อนซัก 500-1000 นึงนะครับแลกที่ช่องแลกเงินของด่านหรือที่ร้านค้าก้ได้ ลองถามอัตราดู 25x.กีบ/1บาท
นี่หละรถโดยสารระหว่างประเทศ ชื่อเท่ห์โคตรๆ ข้างนอกดูดี ข้างในโทรมได้ใจกันเลย
สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติเพราะน้ำแอร์หยดตลอดทาง และสะเทือนมากๆ เหมือนไม่มีระบบกันสะเทือน
เดินเล่นอยู่แถวนั้นก็เจอร้านขายของแปลกๆ สารพัด
หนังงู เขี้ยวหมูเขี้ยวหมาอะไรก้ไม่รู้แต่บอกว่าเขี้ยวเสือ มักกะลีผล ไปจนจิ้งจกตากแห้ง ไม่รู้เค้าเอาไปทำอะไรกัน



รถช้าจริงๆวันนี้ เรามาถึงท่ารถเกรียงไกรที่ปากเซ เอาเมื่อบ่ายโมง
ผิดแผนเลยครับ รถรับจ้างเข้ามารุมทึ้งก้เหมือนกับที่ท่านอื่นๆรีวิวไว้เป๊ะ เราเลยเฉยๆ ไม่ตกใจ
ค่อยๆเจรจา จนได้รถตู้ฮุนไดค่อนข้างใหม่มาคันนึง ทีแรกตั้งใจว่าวันนี้จะไปนอนที่ดอนเดดด่อนเลย
แต่ดุเวลาแล้วเปลี่ยนแผนดีกว่าครับ เหมารถตู้ไปเที่ยวตาดต่างๆซักครึ่งวันก่อน
ตกลงกันได้ที่ราคา 1500 รวมน้ำมัน จะว่าแพงก้แพง แต่ต้องยอมรับว่าน้ำมันบ้านเค้าแพงกว่าเรามาก

คันนี้หละครับ พอออกมาก้แวะเติมปั๊มหอย (เค้าเรียกงั้นจริงๆ)



เป้าหมายแรก คือตาดเยืองเพราะคนรถบอกว่ามีร้านอาหารเยอะหน่อย เรายังไม่ได้กินกลางวันกันเลย หิวมาก
ไปถึงตาดเยืองก็ร้านเยอะจริงแหละ แต่ทุกร้านขายของเหมือนๆกันหมดเลย
ก้กินกันง่ายๆ เฝอ มาม่า ผัดกะเพรา สั่งกันแบบด่วนๆเลย แต่ก็รอนานมาก

จนมีเวลาถ่ายรูปเล่นๆรอบร้าน





ร้านที่เรากินซ้ายสุดในภาพ รสชาดอร่อยดี ราคาไม่แพงครับ แต่ช้าหน่อย (ในลาว อาหารช้าทุกร้าน)



เนื้อฟาน(เก้ง)แดดเดียว มีทุกร้าน อันนี้เคยกินแลเวตอนไปทริปอุดรฯ รสชาดงั้นๆ



อิ่มแล้วก็เริ่มออกเดิน ลงไปชมตาดเยือง (ตาดแปลว่าน้ำตกอยู่แล้วนะครับ จึงขอไม่ใช้คำซ้ำซ้อน)
พอพ้นทางเข้าก็เจอวิวสวยๆทางซ้ายมือ


บรรยากาศเค้าดีนะครับ มีที่ว่างๆไม่รู้เค้าให้ตั้งแคมป์ได้ป่าว ไม่มี จนท.ให้สอบถามเลยซักคน
คนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นคนไทยทั้งนั้นเลย



ดูแผนที่และป้ายสื่อความหมายกันหน่อย
ภาษาลาวล้วนๆพออ่านรู้เรื่องครับ ไม่ยากมาก




ลงบันไดที่ทั้งเปียกทั้งลื่นไปก้เห็นวิวพอยท์ยอดนิยมของที่นี่ก่อนเลย


น้ำแรงมากละอองน้ำกระจายเต็มไปหมด ถ่ายรูปยากมาก เลนส์จะเปียกตลอดเวลา ขนาดมเตรียมตัวไปแล้ว ยังต้องเช็ดฟิลเตอร์ตลอดเวลา

ความสูงพอๆกะเหวนรกบ้านเรา แต่ของเค้ามีน้ำตลอดปีครับ



พอมีแดดโผล่รำไรมาแว๊บนึงก็จะเห็นรุ้งด้วย รอครับรอ



แคนดิดเพื่อนร่วมทริปซักหน่อย สีเสื้อตัดกับสิ่งแวดล้อมอย่างแรง



จากนั้นก็นั่งรถมาอีกที่นึงคือตาดเยือง ที่นี่เข้าไม่ถึง ต้องส่องกันไกลๆ
เป็นน้ำตกแฝด สูงสุดในลาวแล้ว ประมาณ 200กว่าเมตร
มีรีสอร์ทด้วยนะครับ แต่แพง ถ่ายมารุปเดียวพอ คนแยะครับ มุมถ่ายมีน้อย




ออกจากตาดฟานก็ไปตาดยอดนิยม ตาดผาส้วมนั่นเอง
เราไปเย็นแล้ว ไม่มีคนเลยครับ ว่างโลด ถ่ายรูปกันสบายๆ



เป็นน้ำตกกึ่งธรรมชาติกึ่งตกแต่ง ทางการลาวให้สัมปทานเอกชนเข้าไปพัฒนาใช้ชื่อว่าอุทยานบาเจียง
เจ้าของเป็นคนไทย มีร้านอาหาร รีสอร์ท และจัดทำหมู่บ้านชนเผ่าไว้ให้ศึกษาและเป็นที่ขายของที่ระลึกด้วย
เย็นๆก็มีแสงแดดมานิดหน่อยครับ


มุมนี้ห้ามพลาดมุมมหาชน




ล็อตนี้มุมโหลล้วนๆ



น้ำกำลังดีไม่มากไม่น้อยครับ



มีช้าง(ปูนปั้น) 1โขลง



ในบริเวณเดียวกัน แบ่งพื้นที่สร้างเป็นหมู่บ้านชนเผ่า
ลาวเป็นประเทศที่ประกอบด้วยชนเผ่ากว่า 50 เผ่า




มีป้ายบอกไว้ แต่ไม่มีรายละเอียดเท่าไหร่
น่าจะต้องมีผู้นำชม แต่วันนี้คนน้อยเลยไม่มี(มั๊ง)

มีสาธิตการทอผ้าพื้นบ้านให้ชม




บันไดแบบดั้งเดิมคืออันด้านซ้าย อันขวาทำขึ้นมาให้ใช้สะดวกครับ
ส่วนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ มืดมาก




เย็นแล้ว กลับเข้าเมืองกันดีกว่า
คนรถแนะนำโรงแรมจำปา อืมม ก็โอเคนะ เคยดูรีวิวก็ใช้ได้
อยู่นอกตัวเมืองมานิดเดียว ตรงข้ามทางเข้าท่ารถเกรียงไกรเลยครับ
คืนละ 400 ห้องใหญ่ดี สภาพพอได้ครับ

ถ้ามีเวลาค่อยๆหาจะมีที่พักใหม่ๆกว่านี้อีกแยะ แต่ขี้เกียจแล้วครับ นอนแป๊บเดียว เอานี่แหละ
ถนนหน้าโรงแรมเป็นแบบนี้ ตรงข้ามเป็นตลาดใหญ่มากและท่ารถปากเซ
ฝนเตรียมจะตกอีกแล้ว




ข้างโรงแรมมีร้านอัดภาพด่วนด้วย ทีแรกว่าจะลองใช้บริการดู แต่ซักพักฝนตกหนักมาก จนลืมไปเลย




ออกมาเดินเล่น ติดฝนอยู่ใต้ชายคาร้านขายยา

ฝนหายกลับมาถึงโรงแรมเอาตอนเกือบ2ทุ่ม เลยซื้อsim ลาวใช้ซักหน่อย เตรียมโนเกียเครื่องเก่าไปจากบ้านเล
ราตรีสวัสดิ์ สำหรับค่ำคืนแรกในปากเซ



เช้าวันที่ 23 กค.
เมื่อคืนเราพยายามติดต่อหารถคันอื่นเผื่อจะเวิร์คกว่า แต่สรุปว่าเอาคันเดิมแหละ
ตัดสินใจว่าจะเหมาไปอีก
วันนี้เราจะไปทางใต้ของจำปาสัก เป้าหมายแรกคอนพะเพ็งครับ
รถมารอที่ล็อบบี้แต่เช้า
บรรยากาศยามเช้าหน้าโรงแรม มีสามล้อมารอบริการเลย แต่เราเหมารถตู้คันทางขวานี้ไว้แล้ว สำหรับอีก 2 วันในจำปาสั




ออกจากโรงแรม คนรถก็พาเรามาที่ตลาดใหญ่อยู่ตรงเชิงสะพานข้ามโขง ตรงนี้เป็นศูนย์รวมเลย รถตู้ รถสองแถว รถสามล้อ เช้าเหมารายเที่ยวรายวัน หาได้ตรงนี้
รถตู้มากมายรอ(ฟัน)เราอยู่ตรงนี้ ต้องต่อราคากันแบบสุดๆ




ขนมปังฝรั่งเศส แต่ไส้เป็นแบบลาว มีมากมายหลายร้าน




เดินชมตลาดเช้ากันไป เมืองริมโขงนี่ปลาเยอะจริงๆ
ที่นี่เค้าวางต้นหอมแนวตั้งกันแบบนี้หละ









หวยบนดินของลาวก็มี เค้าเอาโมเดลจากของไทยไปปรับใช้ขายดีมาก
ว่าจะถามว่าเค้าเล่นยังไง แต่ลูกค้ามุงเยอะมาก เลยไม่รอถามหละ



ในตลาดนี้มีแหล่งแลกเงินราคาดี
แหล่งแลกเงินที่ให้ราคาดีกว่าธนาคารคือพวกร้านทอง คนรถแนะนำให้เรามาแลกที่นี่
ร้านทองเมืองลาว สีแปลกๆ




ในตลาดโซนนี้เป็นร้านทองทั้งโซนเลย รับแลกเงินทุกร้านและมีบัตรเติมเงิน+ซิมมือถือขายทุกร้าน




ออกจากตลาด คนรถพาเราขับวนชมเมือง แวะถ่ายรูปสะพานข้ามโขงซะหน่อย
มาแวะกินอาหารเช้าตรง down town ของปากเซเล

ตึกเหลืองๆนั่นคือโรงแรมปากเซ ทัวร์คนไทยชอบพักที่นี่กันแยะ




ในเมืองปากเซ ที่พักเยอะมาก



มาแระ อาหารเช้าที่ช้ามากกกก อย่างแรก เฝอครับ หน้าตาน่ากิน อร่อยด้วย


ผัดคะน้าหมูกรอบ น่ากินมาก


เมืองนี้น้ำปลายี่ห้อนี้ขายดีสุด




ผมสั่งข้าวกะเพราหมูกรอบ กับไข่กระทะ กลายเป็นได้ไข่เจียวโปะหน้ากะเพรามาซะงั้น
สื่อสารกันเหมือนจะรู้เรื่องแต่ผิดพลาดบ่อยครับ
อิ่มแล้วก็เดินทางต่อไปไม่ไกลนัก มาถึงท่าเรือข้ามฟาก
ต้องเอารถตู้ลงแพข้ามไปอีกฝั่ง ท้องฟ้ายังคงปกคลุมด้วยเมฆฝน



ข้ามไปปราสาทวัภู มรดกโลกแห่งที่2 ของลาว ต้องข้ามไปฝั่งเมืองจำปาสัก(เก่า)
แพขนานยนต์เหมือนที่บ้านเราใช้เมื่อ30ปีก่อน




ครบ6คันก็เริ่มลงมากันหละ




ช่วงนี้ก็ชมวิวกันไปเพลินๆ


ทางฝั่งนู้นก็สวนกลับมาอีก1ลำ



พอพ้นจากท่าแพก็ขับรถต่อกันมาอีกหน่อย ถึงทางเข้าวัดภูอาคารจำหน่ายบัตรเข้าชม เดินไกลไม่น้อย



ลงรถอีกทีแล้วแสดงตั๋วก่อนผ่านด่านสุดท้าย




เหมือนพนมรุ้งบ้านเราเมื่อ 30ปีที่แล้วจริงๆ



บรรยากาศกับสถานที่เข้ากันดีครับ




ยังปล่อยให้มีวัชพืชขึ้นบนตัวปราสาทอยู่เลย เหมือนกับจะไม่ค่อยมีคนดูแล


อลังการณ์ใช้ได้เลย


ถ่ายสาวคนเดียวในทริปนี้ซักหน่อย เทรนด์กอดกำลังมาแรง



ตรงทางขึ้นปราสาทด้านบน มีผู้เฒ่ามาทำพิธีบายศรีให้นักท่องเที่ยวด้วย



ตรงนี้บรรยากาศหลอนๆดีเหมือนกัน



เดินขึ้นเขามาเรื่อยๆ ข้างบวิวสวยมาก




ตัวปราสาทด้านบนครับ
เนื้อหามีเยอะใน wiki ถ้าสนใจลองไปหาอ่านเองนะครับ มันยาวขี้เกียจพิมพ์ 5555



นายทวารบาล



นางอัปสร



ทับหลังด้านนี้เป็นรูปพระราหู


อิฐทุกก้อนมีเรื่องราว



ถ้าคุณชมด้วยใจใฝ่รู้ก็จะพบว่ามันบอกอะไรเราได้มากมาย



ตรีมูรติ




เดินกันเหนื่อยๆก็มีร้านขายน้ำ ขนม ข้างบนด้วย ขายดีเลยครับ


มีบอลิกาน ถ่ายรูปด้วยนะ
ใบน้อย 1หมื่น ใบใหย่ 2 หมื่น
ว่าจะอุดหนุนซักใบ แต่ตากล้องหายไปไหนไม่รู้ ขี้เกียจรอ



กลับออกจากปราสาทก็เกือบเที่ยง
แวะหาไรกินระหว่างทางไปลงแพกลับ
ช้าเหมือนเดิมครับ


ร้านนี้แบ่งห้องพักให้เช่าพักด้วย
มีของขายหลายอย่าง น้ำมันรถก็มีขาย เอากะเค้าสิ



อิ่มแล้วก็นั่งรถมาลงแพ ตรงท่าแพ ก็มีผู้สาวลาวมาขายของกันถึงรถ



ค่าบริการข้ามแพครับ อ่านเอาเองโลด



เกือบ 4 โมงเย็นเราก็มาถึงคอนพะเพ็ง ฝนกระหน่ำอย่างหนักครับ
ต้องนั่งรอในรถ แถมไปตรงกับมีขาใหญ่มาเที่ยวพอดี เลยปิดทางเข้าต้องเดินไกลเลย เฮ้อ พวกนี้มีทุกเมือง

รอจนฝนซา แต่ยังตกอยู่ เห็นว่าเย็นมากแล้ว เลยใส่เสื้อกันฝนลุยโลดละครับ


คอนพะเพ็งเป็นน้ำตกที่เกิดจาการลดระดับของแม่น้ำโขง ทิ้งตัวลงมาทั้งสาย จึงยิ่งใหญ่อลังการณ์มาก เสียงดังสนั่น ละอองน้ำกระจายไปทั่ว

ช่วงที่ไปจะถ่ายรูปได้แย่สุดแล้ว อากาศสุดๆจริงๆ


ก็ต้องยอมรับว่าของเค้ายิ่งใหญ่จริงๆ



ที่นี่เค้าทำศาลาหลังใหญ่ไว้ให้ชมน้ำตก ดูกันได้มุมเดียวนี่แหละครับ



รอบๆทางเข้ามีร้านอาหารและร้านขายของเยอะมาก




เราออกจากคอนพะเพ็งมาถึงนากะสัง อันเป็นจุดข้ามเรือไปดอนเดด กันเมื่อเวลา 5โมงเย็น
ตลาดปลาสดคึกคักมาก ปลาใหญ่ๆขายกันโลละ 15 บาท


ค่าเรือไปดินเดด ดอนคอน ก็ตามนั้นครับ
ถ้าไปกันเยอะก็ลองต่อรองกันได้อีกหน่อย



ลงเรือกันอย่างรีบเลยครับ ฝนมาอีกแล้ว



บริเวณนี้ทั้งหมดเค้าเรียกว่ามหานทีสี่พันดอน เกาะเล็กเกาะน้อยเยอะมาก



ใช้เวลาข้ามฝั่งประมาณ 10 นาทีเรามาถึงท่าเรือดอนเดด ก็เดินหาที่พักกันนิดหน่อย ไม่เลือกมาหละ
ได้แบบห้องแอร์ มีไฟใช้ตลอดคืน ที่บ้าน Mr.MO ก็ตามที่มีคนเคยรีวิวเป๊ะ เค้าบอก 100000 กีบ ต่อรองดูก็ลดลงมาเหลือ8หมื่น
เป็นเงินไทย 320.- ตามเสต็ป ตกลงครับ เหลือ2ห้องสำหรับกลุ่มเราพอดี

น้องที่ดูแลที่นี่อัธยาศัยดี มีแอบๆกรวนตรีนบ้างเล็กน้อย แต่ไม่น่าเกลียดครับ
เก็บของเข้าห้องพักเสร็จก็เดินไปหามุมถ่ายรูป sunset กันก่อน เพราะใกล้เวลา
มาเจอที่รีสอร์ทนี้ละครับมุมดี



เริ่มได้เรื่องหละ


ตรงนี้ถ่ายมาแยะครับ ลองเล่นกับ white balnace ไปเรื่อย เอามาให้ดูแค่นี้พอหละ


บนดอนเดดนี่ว่ากันว่าทุกบ้านเปิดให้นักท่องเที่ยวเช่าพักหมด บ้านไหนก็รับครับ
ที่พักหาง่าย ถ้าไม่เลือกมากนะ



ลองเล่นกับ WB กันอีกฟ้ามันอยากเน่าดีนัก



ร้านนี้ทำเลสวยจริงๆ แต่ที่พักเค้าเต็มเสียดายนิดๆ


จบวันนี้ด้วยมื้อค่ำจากร้าน Mr.MO อาหารไม่ช้ามาก(เท่าร้านอื่น) แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในทริปนี้แล้วครับ
ราคาก็อยู่แถวๆ 5 ร้อยสสำหรับ 4 คน กินกันจนเหนื่อย


แยกย้ายกันเข้าห้องนอนพักหละครับ ตากฝนจนเหนื่อยเลยวันนี้

-------------------------------------------------------------------------
วันที่ 24 กค. ตื่นแต่เช้าเลย เมื่อคืนฝนตกเกือบตลอดคืน
เลยไม่ได้ออกไปไหน

เปิดห้องออกมามองลงไปเจอภาพนี้เลย
ผู้สาวที่บ้าน mr.MO กำลังใส่บาตร เป็นภาพที่ไม่คิดว่าจะเห็นเลยครับ


เสร็จแล้วก้กรวดน้ำกันตรงนั้น พระที่นั่นท่านไม่เร่งรีบเหมือนในบ้านเราครับ
ดำเนินการให้จนจบโปรเซสกันเลย



อาหารเช้าง่ายของ Mr.MO อีกแหละ ข้าวต้มเค้าแปลก หั่นมานาวใส่มาครึ่งลูกซะงั้น แต่ผมไม่ได้กินเลยไม่รู้อร่อยป่าว



อิ่มแล้วก็ออกเดินหาจักรยานเช่า ขี่เที่ยวตามเส้นทางยอดนิยม
ค่อยๆหาครับ อย่ารีบมีให้เช่าเยอะ ใกล้ๆท่าเรือรถมีแต่เก่าๆโทรมๆ เดินลึกๆเข้าไปจะมีรถใหม่ๆให้เลือกเยอะ
สภาพรถสำคัญนะครับ เพราะขี่ไกลและสภาพทางแย่เลยหละ



ขี่ตามทางขรุขระเละเหลวเป็นหล่มเลนมาได้ซักกิโลนึง ก็มาถึงเช็คพอยท์แรกในรูทนี้ คือท่าเรือขนส่งสินค้าเก่า
ฝรั่งเศสทำไว้ครับ แข็งแรงและยังอยู่ในสภาพดีมาก



ปัจจุบัน ตรงนี้กลายเป็นศูนย์กลางของดอนเดด เป็นท่ารถ-ท่าเรืออยู่ตรงนี้
ท่านที่ซื้อ day tour มาจากในเมืองหรือที่ไหนก็ตาม เรือจะพามาขึ้นตรงท่านี้ แล้วก็ต่อรถ5แถว
ไปเที่ยวดอนคอน-หลี่ผีกันต่อได้สะดวก



ห้าแถวหัวช้าง เห็นคนอื่นถ่ายมาเยอะ พอไปเจอเองก็ยังถ่ายอีก เรียบ-ง่ายแต่ฮาดีครับ
ไม่รู้ยังวิ่งได้รึป่าว?



ปั่นกันมาอีกซัก2กม. พอเมื่อยก้น ก็จะมาถึง สะพานรถไฟเก่าของฝรั่งเศสอีกแหละ
สร้างเป็นสะพานเชื่อระหว่างดอนเดดกับคอนคอน แข็งแรงมาก
แช่อยุ่ในน้ำโขงเชี่ยวกรากมาหลายสิบปี แต่ไม่มีร่องรอยเสียหายเลย



น้องฝนยังคงอยู่กับเราตลอดทริป เช้านี้ยังไม่ตกนะครับ แต่เค้ามาคลอเคลียไม่ห่างแบบนี้แหละ



เดินลงไปถ่ายสะพานข้างล่างซะหน่อย สะพานนี้เป็นที่รู้จักของคนไทยจากหนังสบายดีหลวงพระบาง ซึ่งเนื้อหาตอนแรกเริ่มที่แถวๆนี้ก่อน


น้ำเชี่ยวขนาดเลย ชาวบ้านคงดูแลกันเองตามประสา



พอเลยสะพานนี้มา ก็จะเจอกับด่านเก็บค่าเข้าดอนคอน ด่านจะอยู่ข้างล่าง ถ้าขี่จักรยานมาไม่ต้องแบกรถลงไปนะครับ
เดินลงไปซื้อตั๋วเฉยๆ บางทีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาขายตั๋วให้บนสะพานเลย
สำหรับชาวต่างชาติคนละ 10000กีบเลย แพงหลาย

เลยจากซื้อตั๋วมานี๊ดเดียวประมาณ 15 เมตร ขวามือจะเป็นหัวรถจักรเก่า อันนี้ก็ถ่ายกันทุกคนแหละครับ


แวะหน่อยเดียวพอแล้ว
ไปต่อครับ เลยจากตรงนี้ผ่านทุ่งนาเขียวสบายตาและวัวควายอีกหลายฝูงไปอีกซัก1กม.
จะถึงทางแยกขวามือ มีป้ายบอกทางไปน้ำตกสัมพะมิตร (ไม่เห็นมีใครเรียกกัน) หรือหลี่ผี อันโด่งดัง


ทางแฉะและหลุมเยอะมาก ต้องค่อยๆไป แต่ถ้ามาช่วงแล้งก็จะเจอกับแดดและฝุ่น ผมว่าแบบเปียกๆนี้ดีกว่าครับ

จากป้ายบอกทางเข้ามา 400 เมตรก็เจอสะพานเล็กๆแบบนี้ ถ้านั่งรถ5แถวมาก็จบตรงนี้ละครับ
จากนั้นท่านก็ต้องเดินกันอีกยาวพอสมควร เราเลือกไม่ผิดที่เช่าจักรยาน


ข้ามสะพานมาก็จะเจอร้านค้าของชาวบ้าน 2ฝั่งเลย ใครหิวน้ำก็เชิญ เจอผู้สาวตัวน้อยกำลังปิ้งกบ น่ารักมาก


เลยจากผู้สาวปิ้งกบมาซัก 300เมตร ก็เจอหลี่ผีแล้วหละ
หลี่ผีก็จะเป็นลักษณะเดียวกับคอนพะเพ็ง คือเป็นแม่น้ำโขงทั้งสายทิ้งตัวลดระดับลง จนดูเหมือนน้ำตกยักษ์
จริงๆแล้วเค้าถือว่าเป็นแก่งนะครับ
ผมชอบหลี่ผีมากกว่าคอนพะเพ็งนะ เพราะเข้าถึงได้ใกล้ชิดกว่ามาก



ที่มาของหลี่ผีคือไอ้นี่แหละ เครื่องมือดักปลาของชาวบ้านเค้าเรียกว่า"หลี่"
ส่วนที่มีคำว่าผีด้วย เนื่องจากสมัยสงครามโลกมีศพลอยมาติดอยู่ตามหลี่แถวนี้มากมาย




ทางการลาวเค้าเลยพยายาตั้งชือใหม่ว่า"น้ำตกสัมพะมิด"
แต่ไม่เห็นจะมีใครเรียกชื่อนี้




ว่างๆไปล่องแก่งกันมั๊ยครับ 5555 ของเค้าแรงจริงๆ



อากาศทึมๆ ไม่มีแดดครับ


หลี่ผีมีวิวพอยท์หลายจุด ดีที่เราขี่จักรยานไปเลยขี่ไล่ดูไปเรื่อยๆ
ถ้าเดินคงได้ไม่ทั่วเพราะเวลาไม่พอ




วางหลี่กันแน่นขนาดนี้นี่เอง ศพถึงมาติดกันอยู่ตรงนี้มากมาย



ขี่จักรยานเลาะริมโขง ชมหลี่ผีไปเรื่อยๆครับ มุมมองต่างๆสวยคนละแบบ


ขากลับจากหลี่ผี ก็แวะพักที่วัดนี้ อยู่ระหว่างทาง
แต่ไม่ได้เข้าไป อยากจะรีบกลับมาเช็คเอาท์แล้ว




ร้านค้าที่เห็นนั่นรับซ่อมจักรยาน ปะยางด้วยนะครับ
เช่ารถขี่มาเผื่อมีอะไรก็จูงมาให้ถึงตรงนี้แหละ



รางรถไฟไม่ได้ใช้แล้วก้เอามาทำรั้วซะเลย




กลับมาถึงที่พักก็ล้างเนื้อล้างตัวนิดหน่อย
เช็คเอาท์กันเลย
กลับแล้ว.. รอเรือข้ามไปนากะสัง นัดรถตู้ไว้ประมาณเที่ยง




บรรยากาศระหว่างทางกลับปากเซ ทางโล่งๆแต่อย่าประมาท วัว ควาย แพะ พร้อมจะพุ่งมาตัดหน้าได้ตลอดเวลา




กลับมาถึงท่ารถเกรียงไกรโดยสวัสดิภาพ เอาเมื่อเกือบบ่ายสอง
สบายๆ เพราะรถออก 15.30




ท่ารถนี้มีรถไปแทบทุกแห่งในลาว เขมร ยันเวียดนามเลย
มีรถตรงปากเซ-กรุงเทพฯด้วย 900 บาทเอง



พอวันจะกลับฟ้าใสเมฆสวยซะงั้น



ขากลับ ข้ามสะพานข้ามโขงกลับแล้



ถึงด่านวังเต่า(ฝั่งลาว) ก็เข้าไปเดินเล่นและเข้าห้องน้ำที่ร้าน duty free ของดาวเรืองอีกแระ




ก็จบภาคทัวร์ลาวใต้กลางสายฝนกันแค่นี้ วันนี้เรากลับมานอนอุบลฯครับ
ตามไปทั้วร์ อุบลฯ-สามพันโบก-ผาแต้มกันต่อเลยนะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม

2 ความคิดเห็น:

ninicraftart กล่าวว่า...

ทริปน่าเที่ยวมากเลยค่ะ
คนเที่ยวก็หน้าตาคุ้นๆ ทั้งนั้น
หนิงกับป๊อกสบายดี กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวกันอยู่ ใกล้ความจริงละ คนอื่นแซงหน้าไปหมด

Unknown กล่าวว่า...

จะไปช่วง 28มีค. ค คับ